กระบอกตาห่างกันผิดปกติ
Hypertelorism

ศ. นพ.นนท์ โรจน์วชิรนนท์
14 ส.ค. 2562

ภาวะนี้พบได้ในโรคมากมายหลายชนิด เช่น โรคใบหน้าแหว่งแต่กำเนิด (facial clefts) การเจริญผิดปกติของส่วนยื่นฟอรนโทเนซัล (frontonasal dysplasia) กลุ่มอาการเอเพิร์ต (Apert syndrome) เป็นต้น  มีลักษณะสำคัญคือ กระบอกตาทั้งสองข้างอยู่ห่างจากกันมากกว่าปกติ

ภาวะนี้นอกจากจะทำให้หน้าตาดูผิดปกติจนส่งผลต่อผู้ป่วยทางด้านจิตใจและสังคม ยังอาจทำให้มีความผิดปกติทางด้านการมองเห็นด้วย  โดยเด็กอาจไม่สามารถใช้ตาทั้งสองข้างที่อยู่ห่างกันมากในการมองวัตถุต่าง ๆ พร้อมกัน ทำให้ไม่สามารถมองภาพเป็นสามมิติ หรือแม้แต่อาจเป็นเหตุให้มีการเลือกใช้เฉพาะตาข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้างหนึ่งจนเป็นนิสัย  นาน ๆ เข้า ตาข้างที่ไม่ได้ใช้ก็จะเสื่อมสภาพไปเอง (amblyopia)  จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็วตั้งแต่แรกเกิด

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยภาวะนี้อาศัยการตรวจร่างกายเป็นเบื้องต้น โดยจะพบว่าตำแหน่งหัวตาและลูกตาอยู่ห่างออกจากกันมากกว่าปกติ  บอกได้ด้วยการวัดระยะระหว่างหัวตา (medial intercanthal distance) ระยะระหว่างรูม่านตา (interpupillary distance) และระยะระหว่างหางตา (lateral intercanthal distance)  แล้วยืนยันด้วยเอกซเรย์ชนิดพิเศษของกระดูกใบหน้า เช่น เอกซเรย์ใบหน้าขนาดเท่าจริง (cephalogram) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพื่อดูลักษณะและตำแหน่งของกระดูกบริเวณเบ้าตา

เมื่อทราบแน่ชัดว่ามีภาวะกระบอกตาห่างกันมากกว่าปกติแล้ว ก็ควรตรวจวินิจฉัยหาโรคอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ อันได้กล่าวถึงข้างต้นแล้ว

นอกจากนี้ จะต้องมีการประเมินสายตาโดยกุมารจักษุแพทย์ เพื่อให้ทราบถึงสภาพสายตาและลักษณะการใช้สายตาของผู้ป่วยเป็นเบื้องต้น อันจะมีผลต่อการตัดสินใจเรื่องการรักษา

การรักษา

การรักษาต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญสหวิชาชีพ (multidisciplinary team care) เพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุด โดยมักจะเริ่มต้นด้วยการดูแลรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุก่อน  ส่วนการผ่าตัดแก้ไขภาวะกระบอกตาห่าง จะพิจารณาตามความรุนแรงและปัญหาทางด้านสายตา  โดยทั่วไป การผ่าตัดเคลื่อนย้ายกระบอกตาทั้งสองข้างเข้าหากัน (medial orbital translocation) จะทำในช่วงอายุ 2-5 ขวบ

ถ้ากระบอกตาห่างกันมาก ๆ และมีความผิดของสายตา ควรได้รับการผ่าตัดโดยเร็วเพื่อให้มีโอกาสที่พัฒนาการทางด้านสายตาจะเป็นปกติ และยังเป็นการทำให้หน้าตาดูปกติขึ้นด้วย

ถ้ากระบอกตาห่างกันไม่มากและการตรวจเป็นประจำปีละ 1-3 ครั้งไม่พบว่ามีความผิดปกติของสายตา การผ่าตัดเคลื่อนย้ายกระบอกตาก็ไม่ใช่เรื่องรีบด่วน

การผ่าตัดชนิดนี้ถือเป็นการผ่าตัดที่ใหญ่มาก มีการเสียเลือดได้มาก ต้องมีการร่วมดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาในช่วงก่อนและหลังผ่าตัด  การผ่าตัดต้องทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านแก้ไขความพิการของใบหน้าและกะโหลกศีรษะ (craniofacial surgeon ซึ่งเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งที่ฝึกอบรมมาโดยเฉพาะ) ร่วมกับประสาทศัลยแพทย์

ผู้ป่วยที่ภาวะกระบอกตาห่าง ก่อนผ่าตัด
ผู้ป่วยที่มีภาวะกระบอกตาห่างก่อนการผ่าตัดรักษา
ผู้ป่วยภาวะกระบอกตาห่างผิดปกติ หลังการผ่าตัดเคลื่อนย้ายเบ้าตา
ผู้ป่วยรายเดียวกันหลังการผ่าตัดเคลื่อนย้ายกระบอกตาเข้าหากัน