กะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกติ
Craniosynostosis

ศ. นพ.นนท์ โรจน์วชิรนนท์
4 ม.ค. 68

ภาวะนี้เกิดจากการที่กระดูกที่มาประกอบกันเป็นกะโหลกศีรษะมีการเชื่อมติดกันผิดปกติตรงตำแหน่งที่เป็นรอยประสาน (cranial suture)  ทำให้กระดูกทั้งสองข้างของรอยประสานไม่สามารถขยายขนาดรองรับสมองที่เติบโตใหญ่ึ้น  ตามมากด้วยกดรัดสมองที่อยู่ด้านล่าง

ภาพแสดงกระดูกหลายๆชิ้นประกอบเป็นกะโหลกศีรษะ (จาก http://www.csuchico.edu/anth/Module/skull.html)
รูปที่ 1 - ภาพแสดงกระดูกหลาย ๆ ชิ้นประกอบเป็นกะโหลกศีรษะ

ความผิดปกติดังว่านี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา และเกิดต่อเนื่องภายหลังจากคลอดออกมาแล้ว  แต่มักจะไม่สามารถตรวจเห็นได้ด้วยอัลตราซาวน์ที่นิยมทำกันในช่วงตั้งครรภ์  แม้แต่เมื่อเกิดมาแล้ว แพทย์ก็อาจวินิจฉัยไม่ได้ถ้าไม่มีความเชี่ยวชาญหรือคุ้นเคยกับโรคในกลุ่มนี้

ประเภทของโรค

โรคในกลุ่มนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. กลุ่มที่มีการเชื่อมติดของรอยประสานกะโหลกศีรษะหลายตำแหน่ง (multiple-sutured craniosynostosis)

มักพบร่วมกับความผิดปกติอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย เรียกว่า syndromic craniosynostosis เช่น กลุ่มอาการครูซอง (Crouzon Syndrome, รูปที่ 2), กลุ่มอาการเอเพิร์ต (Apert Syndrome, รูปที่ 3), กลุ่มอาการไฟเฟอร์ (Pfeiffer Syndrome, รูปที่ 4), กลุ่มอาการมูนคู (Muenke syndrome), กลุ่มอาการเซเตอร์-โชเซน (Satre-Chotzen Syndrome), กลุ่มอาการคาร์เพนเตอร์ Carpenter Syndrome)

ผู้ป่วยกลุ่มอาการครูซอง
รูปที่ 2 ผู้ป่วยกลุ่มอาการครูซอง อาการสำคัญคือ ตาโปนมาก  บางรายโปนมากจนลูกตาถลนออกนอกเบ้า  หลายรายมีตาเขเหล่ร่วมด้วย
ผู้ป่วยกลุ่มอาการเอเพิร์ต (Apert syndrome) ผู้ป่วยกลุ่มอาการเอเพิร์ต (Apert syndrome) ผู้ป่วยกลุ่มอาการเอเพิร์ต (Apert syndrome) ผู้ป่วยกลุ่มอาการเอเพิร์ต (Apert syndrome)
รูปที่ 3 ผู้ป่วยกลุ่มอาการเอเพิร์ต (Apert syndrome) ตาโปนน้อยกว่าในกลุ่มอาการครูซอง แต่หน้าผากจะโปนนูนมากกว่า มีรอยคอดรัดเหนือคิ้ว  และที่สำคัญมีนิ้วมือและนิ้วเท้าเชื่อมติดกันมาแต่กำเนิด
กลุ่มอาการไฟเฟอร์ กลุ่มอาการไฟเฟอร์
รูปที่ 4 ผู้ป่วยกลุ่มอาการไฟเฟอร์ (Pfeiffer syndrome) มีความผิดปกติบริเวณใบหน้าและกะโหลกศีรษะที่คล้ายกลุ่มอาการเอเพิร์ต แต่มักมีหัวแม่มือและหัวแม่เท้าใหญ่กว่าปกติ และความผิดปกติของข้อศอกด้วย

ผู้ป่วยเหล่านี้มีการเชื่อมติดของกระดูกกะโหลกศีรษะหลาย ๆ ชิ้น ทำให้มีกะโหลกศีรษะและใบหน้าผิดรูปอย่างรุนแรงไปพร้อม ๆ กัน  มักมีต้นเหตุจากการหลายพันธุ์ของยีน ทำให้มีความพิการแต่กำเนิดของอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายร่วมด้วย เช่น แขน ขา มือ เท้า หัวใจ กระดูกสันหลัง อวัยวะการได้ยิน กล้ามเนื้อตา ระบบต่อมไร้ท่อ

ด้วยเหตุที่ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับยีนที่มีการกลายพันธุ์จากพ่อหรือจากแม่ในช่วงของการสร้างอสุจิหรือไข่ หรือระหว่างปฏิสนธิ หรือระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นโรคขึ้นมาเป็นคนแรกในครอบครัว

และด้วยความรู้เรื่องยีนต้นเหตุที่มีมากขึ้น พบว่ามีโรคหลาย ๆ โรคเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนเดียวกัน จึงเริ่มมีการเรียกชื่อโรคตามยีนที่มีการกลายพันธุ์มากขึ้น เช่น FRFR2-related craniosynostosis  หลาย ๆ โรคที่เคยวินิจฉัยไว้ ก็พบว่าผิดพลาดกลายเป็นอีกโรคหนึ่ง

ในส่วนของใบหน้าและศีรษะ การเชื่อมติดผิดปกติของกระดูกหลาย ๆ ตำแหน่ง มีผลที่สำคัญ 3 ประการ คือ

  1. กะโหลกศีรษะตีบรัดสมอง (craniostenosis) - เป็นผลจากการที่กะโหลกศีรษะไม่สามารถขยายตัวได้ตามปกติ เกิดการกดรัดสมองซึ่งเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงอายุ 2-3 ขวบแรก  ผู้ป่วยอาจมีปัญหาทางด้านพัฒนาการและสติปัญญาได้  ศีรษะมักมีรูปลักษณะผิดปกติ เช่น เป็นรูปทรงสูง (turricephaly)  รูปทรงแหลมขึ้นไปตรงกลางศีรษะ (oxycephaly)   แบนในแนวหน้าหลัง (brachycephaly)  หรือบางครั้งรุนแรงจนศีรษะบิดเบี้ยวอย่างมากรูปร่างคล้ายดอกจิก (cloverleaf skull)
  2. กระดูกเบ้าตาเล็กผิดปกติ (orbitostenosis) - กระบอกตาประกอบด้วยกระดูกหลายชิ้นประสานกันอยู่ หากมีการเชื่อมติดผิดปกติ ก็จะไม่สามารถขยายขนาดตามลูกตาที่โตขึ้น เป็นผลให้ลูกตาซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นตามปกติไม่มีที่อยู่ จึงมองเห็นโปนโต (exorbitism)  ในรายที่เป็นรุนแรง จะหลับตาไม่สนิทหรือถลนหลุดออกนอกเบ้า จนเกิดเป็นแผลที่กระจกตา(ตาดำ)และตาบอดได้ในที่สุด
  3. ใบหน้าส่วนกลางเล็กผิดตปกติ (faciostenosis) - กระดูกใบหน้าก็ประกอบด้วยกระดูกหลายชิ้นประสานกัน  เมื่อมีการเชื่อมติดผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่ติดกับฐานกะโหลกศีรษะ ใบหน้าส่วนที่ติดกันคือใบหน้าส่วนกลางจึงไม่ขยายขนาดตามปกติ  มีลักษณะเว้าแบน ฟันบนอยู่หลังต่อฟันล่าง มีเพดานปากที่สูงกว่าปกติ (high-arched palate) โพรงจมูกเล็กจน หายใจลำบากจนขาดอ็อกซิเจนได้
Craniosynostosis syndromes ที่พบบ่อย
ชื่อโรค รอยประสานที่มักผิดปกติ อาการแสดง
ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบยีนเด่น (autosomal dominant)
กลุ่มอาการครูซอง (Crouzon) โคโรนอล (coronal), แซกจิตัล (sagittal) กะโหลกศีรษะรูปร่างผิดปกติ ใบหน้าส่วนกลางไม่เจริญ ตาโปน กระบอกตาห่างกัน โพรงจมูกตีบแคบ
กลุ่มอาการเอเพิร์ต (Apert) coronal, sagittal, แลมดอย (lambdoid), etc กะโหลกศีรษะรูปร่างผิดปกติ ใบหน้าส่วนกลางไม่เจริญ ตาโปน กระบอกตาห่างกัน ทางเดินหายใจแคบ นิ้วมือนิ้วเท้าติดกัน
กลุ่มอาการไฟเฟอร์(Pfeiffer)
ชนิดที่ 1 coronal, sagittal กะโหลกศีรษะรูปร่างผิดปกติคล้ายกลุ่มอาการเอเฟิต แต่มีหัวแม่มือและแม่เท้าใหญ่ผิดปกติ นิ้วมือและเท้าอาจติดกันได้บ้างแต่ติดเฉพาะผิวหนัง
ชนิดที่ 2 ทุกรอยต่อ เหมือนชนิดที่ 1 แต่โรครุนแรงกว่า ศีรษะเป็นรูปดอกจิก (cloverleaf หรือ Kleeblattschadel) ปัญญาอ่อน ข้อศอกติด
ชนิดที่ 3 ทุกรอยต่อและรุนแรงตั้งแต่เกิด ตาโปนมาก กระบอกตาเล็กตื้น ใบหน้าส่วนกลางเว้าอย่างมาก ข้อศอกติดงอเหยียดไม่ได้ อายุสั้น
กลุ่มอาการเซเตอร์-โชเซ็น (Saethre-Chotzen) coronal กะโหลกศีรษะรูปร่างผิดปกติ มักจะแบนในแนวหน้าหลัง หนังตาตก อาจมีหนังของนิ้วติดกัน
ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบยีนด้อย (autosomal recessive)
กลุ่มอาการคาเพนเตอร์ (Carpenter) ทุกรอยต่อ ศีรษะรูปร่างผิดปกติ ร่วมกับมีจมูกแบน เอ็นหัวตาตก นิ้วเกิน

2. กลุ่มที่มีรอยประสานกะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกติเพียงตำแหน่งเดียว (single-sutured craniosynostosis)

มักไม่มีความผิดปกติของส่วนอื่นในร่างกาย เนื่องจากไม่มีการกลายพันธุ์ของยีน  จึงนิยมเรียกว่า non-syndromic craniosynostosis  รอยประสานใดเชื่อมติดผิดปกติ ส่วนของกะโหลกศีรษะบริเวณนั้นก็จะขยายตัวไม่ได้ ศีรษะจึงมีรูปร่างบิดเบี้ยวเป็นแบบเฉพาะสำหรับความผิดปกติของแต่ละรอยประสาน  เช่น ศีรษะยาวผิดปกติในแนวหน้าหลังคล้ายเรือ (scaphocephaly จาก sagittal craniosynostosis)  ศีรษะรูปสามเหลี่ยม เป็นสันที่หน้าผาก (trigonocephaly จาก metopic craniosynostosis)  ศีรษะเบี้ยว (plagiocephaly จาก unilateral coronal synostosis)  สิ่งที่เราพบร่วมได้คือ ความผิดรูปของกะโหลกจะนำมาซึ่งการผิดรูปของใบหน้า หากไม่ได้รับการรักษาโดยเร็วในวัยทารก (รูปที่ 5)

รูปที่ 5 - ผู้ป่วยศีรษะผิดรูปแบบ plagiocephaly เนื่องจากมีรอยประสานโคโรนัลข้างขวาเชื่อมติดผิดปกติ  หากไม่ได้รับการผ่าตัดแก้ไขตั้งแต่วัยทารก ใบหน้าก็จะผิดรูปตามไปด้วย

การรักษา

ความผิดปกติแต่กำเนิดควรได้รับการดูแลทั้งทางกาย ใจ สังคม โดยสหวิชาชีพ  ความผิดปกติทางร่างกายควรได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่า การรักษาต้องไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อผู้ป่วย  หลักการในการรักษาภาวะกะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกติก็เช่นเดียวกัน ไม่แตกต่างจากโรคอื่น ๆ

กลุ่มที่มีรอยประสานกะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกติเพียงตำแหน่งเดียว

ปัจจุบัน มีบางโรงพยาบาลในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นทำการผ่าตัดตั้งแต่ผู้ป่วยอายุไม่กี่เดือน  มีแผลผ่าตัดเล็กไม่กี่แผล ตัดกระดูกตรงรอยประสานที่มีการเชื่อมติดผิดปกตืทิ้งไปโดยมีกล้องส่องช่วย (endoscopic suturectomy)  ตามด้วยการใส่หมวกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ (helmet) แต่ต้องใส่ทั้งวันเป็นเวลาหลายเดือน

ในประเทศไทยเราซึ่งมีอากาศร้อนชื้น การใส่หมวกดังกล่าวเป็นไปได้ยาก การผ่าตัดจึงยังเป็นวิธีมาตรฐานอยู่ คือ รอให้ผู้ป่วยมีอายุอย่างน้อย 6 เดือน จึงจะผ่าตัดปรับเปลี่ยนรูปร่างและขนาดกะโหลกศีรษะ  จัดเป็นการผ่าตัดที่ใหญ่ เสียเลือดมากกว่า ต้องพักในไอซียูหลังผ่าตัด

ทั้งสองวิธี เราไม่ควรรอช้า  ควรผ่าตัดแต่เนิ่น ๆ เพื่อหยุดการกดรัดเนื้อสมองใต้รอยประสานที่ผิดปกติ  ถ้าเป็นศีรษะเบี้ยว (plagiocephaly) เนื่องจากรอยประสานโคโรนัลซึ่งอยู่เหนือหน้าผากเชื่อมติดผิดปกติเพียงข้างเดียว (unilateral coronal craniosynostosis) การผ่าตัดเร็วยังเป็นการป้องกันไม่มีเกิดใบหน้าบิดเบี้ยว (facial distortion) ซึ่งจะทำให้การแก้ไขยุ่งยากมากขึ้น อาจต้องมีการผ่าตัดซ้ำอีกเมื่อเด็กโตขึ้น

อย่างไรก็ตาม เราต้องระวังไม่ไปผ่าตัดให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ แต่มีศีรษะเบี้ยวจากแรงกดภายนอก (positional plagiocephaly หรือ deformational plagiocephaly) เช่น จากการที่ศีรษะถูกกดเบียดอยู่ในอุ้งเชิงกรานมารดาในขณะที่เป็นทารกในครรภ์

กลุ่มที่มีรอยประสานกะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกติหลายตำแหน่ง

ในเรื่องการผ่าตัดกะโหลกศีรษะ วิธีส่องกล้องเพียงลำพังใช้ไม่ได้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ เพราะไม่เพียงพอที่จะเพิ่มพื้นที่ให้สมองได้ขยายตัว และไม่สามารถแก้ไขภาวะตาโปน  ต้องผ่าตัดใหญ่ขยายกะโหลกศีรษะส่วนหน้าและเบ้าตา (frontoorbital advancement หรือ anterior cranial vault remodeling, รูปที่ 6) หรือขยายกะโหลกศีรษะส่วนหลัง (posterior cranial vault remodeling) หรือทั้งหน้าและหลัง

รูปที่ 6 - การทำผ่าตัดขยายกะโหลกศีรษะส่วนหน้าและเบ้าตา (frontoorbital advancement)

ต้องเข้าใจว่า การรักษาด้วยการผ่าตัดไม่ใช่ปลายทางของการดูแลผู้ป่วย  หลังจากการผ่าตัด ยังต้องนัดผู้ป่วยมาดูเป็นระยะ ๆ เพื่อดูอาการ เช่น มีปัญหาแรงดันในสมองเพิ่มขึ้นหรือไม่ ตาโปนผิดปกติกลับขึ้นมาอีกหรือไม่ มีปัญหาการหายใจอันเนื่องมาจากใบหน้าส่วนกลางไม่เจริญเติบโตทำให้ทางเดินหายใจแคบหรือไม่ (รูปที่ 7) มีปัญหาเรื่องการเคี้ยวอาหารอันเนื่องมาจากการสบฟันที่ผิดปกติหรือไม่ เพื่อจะได้ดำเนินการแก้ปัญหาต่อไป

รูปที่ 7 - เมื่อเด็กโตขึ้นอาจมีการผ่าตัดเลื่อนกระดูกใบหน้าส่วนกลางออกมาทางด้านหน้า โดยใช้เครื่องมือยืดกระดูก (distractor) ทำให้การหายใจไม่อุดตัน การสบฟันดีขึ้น ตาไม่โปน และหน้าตาดูปกติขึ้น