ประวัติความเป็นมา
3 ก.ค. 2559

วงการ Craniofacial Surgery สากล
ความผิดปกติบนใบหน้าและศีรษะมีตั้งแต่เป็นน้อย ๆ เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ ไปจนถึงขั้นรุนแรง เช่น Crouzon syndrome, Apert syndrome, frontonasal dysplasia ฯลฯ ผู้ป่วยที่มีใบหน้าผิดรูปรุนแรง การรักษาจะยิ่งยุ่งยากและต้องรอบคอบ มิฉะนั้น อาจเป็นอันตรายถึงขั้นพิการถาวรหรือเสียชีวิตได้
เป็นที่ทราบกันดีว่าการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ (craniofacial surgery) ได้เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยในประเทศสหรัฐอเมริกา นพ. Joseph E Murray ซึ่งเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีชื่อเสียงมาก ได้รับรางวัลโนเบลจากการผ่าตัดปลูกถ่ายไตในคนได้เป็นคนแรกของโลก ได้เริ่มต้นงานด้านนี้อย่างจริงจัง มีการดูแลผู้ป่วยแบบสหสาขาวิชาชีพ มีการจัดตั้งหลักสูตรการฝึกอบรมในสาขานี้ขึ้น เป็นผู้ที่ผ่าตัดเลื่อนตำแหน่งใบหน้าส่วนกลาง (midface advancement) เป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1966


ในช่วงเวลาเดียวกัน ศัลยแพทย์ตกแต่งชาวฝรั่งเศสอีกท่านหนึ่ง ชื่อ Paul Tessier ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนพ. Joseph Murray ก็สนใจและศึกษาความรู้เรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง ได้คิดค้นและนำเสนอเทคนิคการผ่าตัดทางด้านนี้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1967 ต่อมายังได้ทำงานร่วมกับนพ. Joseph Murray ในอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1970-90


นพ. Paul Tessier นั้นมีผลงานเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก มีชื่อเสียงมากจนได้ถูกเรียกเป็น "บิดาแห่งวงการ Craniofacial Surgery" มีศัลยแพทย์จากทั่วโลกมาเรียนด้วย เช่น David J David จากออสเตรเลีย, Henry Kawamoto จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นศิษย์รุ่นแรก และศัลยแพทย์เหล่านี้ ปัจจุบันก็กลายเป็นผู้นำในวงการนี้
วงการ Craniofacial Surgery ในประเทศไทย
แต่เดิมมาในประเทศไทย ปัญหาเรื่องความผิดปกติบนใบหน้าและศีรษะไม่ค่อยได้รับความสนใจแต่อย่างใด จนกระทั่งนพ. จรัญ มหาทุมะรัตน์ แห่งหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่ง ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล และเลือกไปศึกษาทางด้านนี้โดยเฉพาะกับนพ. David J David ที่ Australian Craniofacial Unit ประเทศออสเตรเลีย และที่ Nassau County Medical Centre และ New York University เมืองนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กลับมาปฏิบัติงานที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในปี พ.ศ. 2529 ประกอบกับนพ.ช่อเพียว เตโชฬาร แห่งหน่วยประสาทศัลยศาสตร์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ ซึ่งได้ไปศึกษาต่อทางด้านประสาทศัลยศาสตร์ในเด็ก จากแคนนาดา ก็จบกลับมาพอดี
นพ. จรัญ มหาทุมะรัตน์ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ รวม 12 สาขา เข้ามารวมกลุ่มเป็น "คณะทำงานแก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ดังกล่าวได้แก่ กุมารแพทย์, รังสีแพทย์, จักษุแพทย์, โสต ศอ นาสิก แพทย์, วิสัญญีแพทย์, แพทย์ทางพันธุกรรม, ทันตแพทย์และทันตแพทย์จัดฟัน, จิตแพทย์, นักอรรถบำบัด, นักสังคมสงเคราะห์ และพยาบาล เป็นต้น มาร่วมกันทำงานโดยไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ เป็นพิเศษ

ในช่วงแรกนั้น ได้แพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่านร่วมแรงร่วมใจและสนับสนุนมาเป็นอย่างดี อาทิเช่น นพ. ถาวร จรูญสมิทธิ์ (ศัลยแพทย์ตกแต่ง) พญ. ส่าหรี จิตตินันทน์ (กุมารแพทย์) พญ.สุมาลี ศรีวัฒนา (กุมารแพทย์) การทำงานจึงได้ประสบความสำเร็จมาเป็นอย่างดี


พญ.สุมาลี หรือ "อจ.สุมาลี" ของพวกเรา เคยเล่าว่า มีความประทับใจมากและเกิดความสนใจในคนไข้กลุ่มนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็น intern (นิสิตแพทย์ปีสุดท้าย) ตอนที่อ.ส่าหรี ได้นำผู้ป่วยโรค Down syndrome มาสอน เมื่อกลับมาจากการฝึกอบรมเพิ่มเติมในต่างประเทศ จึงมาร่วมงานกับอจ.ส่าหรี ดูแลผู้ป่วยที่มีความพิการแต่กำเนิดหลากหลายชนิด อาจารย์เป็นผู้ริเริ่ม holistic approach คือ การดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม (ดูแลคนไข้ทั้งทางจิตใจ ร่างกาย และสังคม ไม่ใช่เฉพาะทางกายในส่วนที่เราเชี่ยวชาญอย่างเดียว) ทั้งยังริเริ่มในเรื่องต่าง ๆ อีกมาก รวมทั้งการประชุมวางแผนรักษาของทางศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ ที่เรียกว่า "Craniofacial Conference" มีผู้ป่วยบางรายที่อาจารย์ดูแลรักษาอย่างยาวนานจนมีชาวต่างประเทศอุปถัมภ์เป็นบุตรบุญธรรม อาจารย์เองได้เดินทางไปเยี่ยมที่ต่างประเทศ ได้เห็นว่าเด็กมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า อาจารย์ได้รักษาดูแลผู้ป่วยอย่างถึงที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาเหล่านี้ตรวจผู้ป่วยและร่วมประชุมปรึกษาหารือในปัญหาต่าง ๆ ของผู้ป่วยเป็นประจำทุกเดือนใน craniofacial conference ผลจากการประชุมนำไปสู่แผนการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยรายนั้น ๆ คณะทำงานนี้ได้ทำงานมาอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ พ.ศ. 2529 นับว่าเป็นคณะทำงานแก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะที่มีมาตรฐานระดับสากลเป็นคณะแรกของประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2544 นพ. นนท์ โรจน์วชิรนนท์ แห่งหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่ง ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จบการศึกษาฝึกอบรมทางด้าน craniofacial surgery โดยเฉพาะกับ นพ. David J David ที่ Australian Craniofacial Unit และกับ นพ. Mutaz B Habal ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ นพ. Joseph Murray ที่ Tampa Bay Craniofacial Center มีความริเริ่มในขณะที่ยังอยู่ในต่างประเทศว่า น่าจะมีการก่อตั้งศูนย์เฉพาะทางขึ้นในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ควรจะมีสถานที่เฉพาะเพื่อให้เป็นบ้านหลังที่สองของผู้ป่วยและครอบครัว เมื่อเสร็จสิ้นการฝึกอบรมและกลับมายังไประเทศไทย จึงได้เสนอแนวคิดแก่นพ.จรัญ มหาทุมะรัตน์ จัดทำป้าย "คณะทำงานแก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ (CHULALONGKORN CRANIOFACIAL TEAM)" มาติดหน้าห้องทำงานเล็ก ๆ ของตนเองซึ่งใช้ร่วมกับนพ.จรัญ มหาทุมะรัตน์ ออกแบบกระดาษสำหรับทำเป็นหนังสือส่งเข้า-ออก จ้างคนมาเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการของคณะทำงาน นั่งเบียดกัน 3 คนในห้องทำงาน

นพ.นนท์ โรจน์วชิรนนท์ ยังริเริ่มให้มีการเก็บข้อมูลผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ แทนที่จะอาศัยเวชระเบียนของโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว ริเริ่มให้มีการถ่ายภาพผู้ป่วยแบบมืออาชีพโดยวิธีการถ่ายภาพที่เป็นมาตรฐานและจัดเก็บอย่างเป็นระบบ ในที่สุดก็สามารถจัดตั้ง "ศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย" ขึ้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2544 โครงการจัดตั้งศูนย์ในครั้งนั้นเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสเจริญพระชนมายุครบ 48 พรรษา ในปี พ.ศ. 2546 โดยศูนย์ที่ตั้งขึ้นอยู่ภายใต้สังกัดโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากนั้นเป็นต้นมา นพ.นนท์ โรจน์วชิรนนท์ ริเริ่มงานด้านประชาสัมพันธ์ ใช้ความสามารถส่วนตัวสร้างเว็บไซต์ของศูนย์ เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์และให้ชื่อว่า "ChulaSurgery" เพื่อเก็บข้อมูลผู้ป่วย (electronic medical record หรือ EMR) ที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน จัดให้มีเจ้าหน้าที่สายสนับสนุนมาประจำศูนย์ จัดการและฝึกสอนเจ้าหน้าที่ศูนย์จนมีระบบการถ่ายภาพทางคลินิกที่ได้มาตรฐาน นำเทคนิคการรักษาและผ่าตัดใหม่ ๆ หลายอย่างมาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย มีผลการรักษาผ่าตัดที่ดีเยี่ยมเป็นที่ไว้วางใจของผู้ป่วยและครอบครัว ริเริ่มให้มีการดูแลผู้ป่วยทางด้านจิตใจและสังคมด้วยกิจกรรมต่าง ๆ นำเสนอผลงานทางวิชาการในระดับต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมากและเป็นที่รู้จักกันดีในวงการแพทย์ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ บวกกับคณะทำงานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสาทศัลยแพทย์รุ่นถัดมา คือ พญ.จิระพร อมรฟ้า ที่มีฝีมือการผ่าตัดในระดับสุดยอดไม่แพ้ใครในโลก เอาใจใส่ผู้ป่วยและครอบครัวราวกับญาติสนิทมิตรสหาย นพ.รื่นเริง ลีลานุกรม วิสัญญีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการดมยาสลบสำหรับการผ่าตัดยาก ๆ ใหญ่ ๆ เช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์ในระดับโลกอย่างนพ.วรศักดิ์ โชตืเลอศักดิ์ และพญ.กัญญา ศุภปีติพร รังสีแพทย์ที่มีสายตาแหลมคมและเชี่ยวชาญด้านนี้ไม่มีใครเกินอย่างพญ.สุกัลยา เลิศล้ำ พญ.ภาณินี จารุศรีพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยินอับดับต้นของประเทศ คุณชุติมนณฑ์ ปัญญาคำ นักจิตวิทยา และคุณปราณี ทรงเดชาวุฒิ นักสังคมสงเคราะห์ ที่ร่วมกันดูแลทุกข์สุขของทุกครอบครัว ศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จึงกลายเป็นศูนย์แรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีความพร้อมในการดูแลรักษาผู้ที่มีความผิดปกติบนใบหน้าและศีรษะในทุกรูปแบบ ทั้งชนิดที่ไม่รุนแรงอย่างปากแหว่งเพดานโหว่ และชนิดรุนแรงอื่น ๆ แบบครบวงจรอย่างแท้จริง
ด้วยการนำของนพ.จรัญ มหาทุมะรัตน์ ฝีมือการรักษาผ่าตัดและนวัตกรรมด้านการดูแลผู้ป่วยของนพ.นนท์ โรจน์วชิรนนท์ ความสามารถของคณะผู้เชี่ยวชาญที่ครบถ้วนทุกสาขา ทีมเจ้าหน้าที่สายสนับสนุน และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของประชาชนและผู้บริจาค ชื่อเสียงของศูนย์ฯ จึงเป็นที่ประจักษ์ในวงการแพทย์ไทย มีผู้ป่วยส่งต่อจากสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้รับความไว้วางใจจากสำนักพระราชวัง จนในที่สุดสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดศูนย์อย่างเป็นทางการในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และพระราชทานชื่อใหม่ว่า "ศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย" ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2552
ศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ (craniofacial center) ที่สมบูรณ์แบบทั่วโลกมีไม่มากนัก และจะต้องประกอบไปด้วยแพทย์และบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมทางด้านนี้มาอย่างดีจำนวนอย่างน้อย 12 สาขาวิชาดังกล่าวไว้แล้วข้างต้น ปรึกษาหารือเพื่อแก้ไขปัญหาและหาวิธีการรักษากันอยู่เป็นประจำ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยมีบุคลากรที่ทรงคุณค่าในสหสาขาวิชาต่าง ๆ ครบถ้วนทำงานร่วมกัน ศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จึงเป็นหลักสำคัญและเป็นการแพทย์ต้นแบบทางด้านการแก้ไขความผิดปกติบนใบหน้าและศีรษะชนิดรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน