ปัญหาเกี่ยวกับหูและการได้ยิน

นพ. มล.กรเกียรติ์ สนิทวงศ์
13 ธ.ค.​53

ผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่ และความพิการบนใบหน้าอื่น ๆ อาจประสบปัญหาต่าง ๆ ของโรคหูได้ง่ายกว่าผู้ป่วยทั่วไป  ทั้งนี้เนื่องมาจากความผิดปกติแต่กำเนิดเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์มารดาโดยการสร้างหูและใบหน้าเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน รวมทั้งพัฒนามาจากจุดกำเนิดเดียวกัน (first and second branchial arches)

นอกจากความผิดปกติของหูซึ่งอาจมีมาแต่กำเนิดแล้ว เด็กอาจมีปัญหาของโรคหูเกิดขึ้นตามมาในภายหลังได้  เนื่องจากหูชั้นกลางมีการติดต่อกับบริเวณคอหลังโพรงจมูก ดังนั้นการที่เด็กมีความผิดปกติของใบหน้า จมูก คอ เพดานปาก และโพรงไซนัส จึงสามารถส่งผลให้หูทำงานผิดปกติได้และเกิดโรคของหูตามมา

ส่วนประกอบและหน้าที่ของหู

หูแบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่

  1. หูชั้นนอก ประกอบด้วย ใบหู รูหู จนถึงเยื่อแก้วหู  หูชั้นนอกมีหน้าที่รับเสียงจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
  2. หูชั้นกลาง ประกอบด้วย กระดูกหูเล็ก ๆ 3 ชิ้น คือ กระดูกค้อน ทั่ง และโกลน  โดยกระดูกค้อนจะแนบติดกับเยื่อแก้วหู และกระดูกโกลนจะติดต่อกับหูชั้นใน  นอกจากนี้ยังมีท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) เป็นทางติดต่อระหว่างหูชั้นกลางกับบริเวณคอหลังโพรงจมูก  ทำให้หูชั้นกลางมีการปรับความดันภายในให้เท่ากับภายนอกอย่างเหมาะสม  หูชั้นกลางมีหน้าที่ขยายเสียงที่รับมาจากหูชั้นนอกผ่านเยื่อแก้วหูและกระดูกหูทั้ง 3 ชิ้น ส่งไปถึงหูชั้นใน
  3. หูชั้นใน ประกอบด้วย ส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ โคเคลีย (cochlear) มีลักษณะคล้ายก้นหอยทำหน้าที่รับสัมผัสเสียงแล้วส่งต่อไปตามประสาทรับเสียงไปยังสมอง  และท่อเซมิเซอคิวลา (semicircular canals) มีลักษณะคล้ายท่อครึ่งวงกลม 3 คู่  ทำหน้าที่รับรู้การทรงตัวและรับรู้การเคลื่อนไหว แล้วส่งต่อไปตามประสาทการทรงตัวไปยังสมอง

ปัญหาโรคหู

เราอาจแบ่งโรคหูตามช่วงเวลาที่เกิดความผิดปกติได้ ดังนี้

  1. โรคหูที่เป็นแต่กำเนิด
    ทารกในครรภ์มารดาเริ่มมีการเจริญของหูที่อายุครรภ์ประมาณ 8 สัปดาห์  และเจริญสมบูรณ์ที่อายุครรภ์ประมาณ 28 สัปดาห์  ดังนั้นการที่ครรภ์มารดาถูกกระทบกระเทือนด้วยทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ในช่วงอายุครรภ์ดังกล่าวนี้ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม การใช้ยา การได้รับรังสี การบาดเจ็บ และอื่น ๆ ก็ล้วนมีผลกระทบต่อการเจริญของหูได้  โรคหูที่เป็นมาแต่กำเนิดมีหลากหลาย ได้แก่ ใบหูเล็กหรือผิดรูป ไม่มีรูหูหรือมีรูหูขนาดเล็กมาก ไม่มีหูชั้นกลางโดยช่องหูชั้นกลางเป็นกระดูกทึบ หรือมีหูชั้นกลางแต่กระดูกนำเสียง 3 ชิ้นแข็งติดกันไม่สามารถนำเสียงได้ หูชั้นในไม่เจริญทำให้มีอาการหูตึงหรือหูหนวกสนิท
  2. โรคหูที่เกิดขึ้นภายหลัง
    หูจะสามารถทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อท่อยูสเตเชียนสามารถปรับความดันในช่องหูชั้นกลางให้เท่ากับความดันอากาศภายนอก  มิฉะนั้นช่องหูชั้นกลางจะมีสภาพเป็นเหมือนห้องปิดที่ไม่มีช่องระบาย มีความดันเป็นลบและมีน้ำเหลืองขัง เยื่อแก้วหูจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวและนำเสียงได้ดีเพราะมีน้ำท่วมขังอยู่ด้านหลัง  เด็กที่มีเพดานโหว่จะพบปัญหาหูอื้อ หูตึงจากเหตุดังกล่าวได้บ่อย เนื่องจากเด็กมีความผิดปกติของกล้ามเนื้อเพดานอ่อนซึ่งเป็นกล้ามเนื้อสำคัญที่ทำหน้าที่ปิดเปิดท่อยูสเตเชียน  นอกจากนี้เด็กเพดานโหว่ยังมีโอกาสสำลักนมสำลักอาหารผ่านรูโหว่ที่เพดานปากได้บ่อย จึงมีความเสี่ยงของการอักเสบติดเชื้อ ซึ่งอาจเป็นหูชั้นกลางอักเสบ แก้วหูทะลุ หูน้ำหนวกเรื้อรัง หรือหูน้ำหนวกชนิดอันตรายร้ายแรง (cholesteatoma) ได้

การตรวจพิเศษทางหู

นอกจากการตรวจเบื้องต้นทางหูคอจมูกอย่างละเอียด ซึ่งรวมไปถึงการใช้กล้องกำลังขยายสูง (microscope) เพื่อให้เห็นรายละเอียดของรูหูส่วนนอก เยื่อแก้วหู และหูชั้นกลางอย่างชัดเจนแล้ว  ผู้ป่วยที่มีความพิการบนใบหน้ายังจำเป็นต้องรับการตรวจพิเศษเพิ่มเติมในเรื่องความสามารถในการรับฟังเสียง รวมทั้งสภาวะการทำงานของหูด้วย

การตรวจพิเศษทางหูนี้ได้แก่

  1. Audiometry คือ การตรวจวัดระดับการได้ยินเสียง ซึ่งจะวัดระดับการได้ยินทั้งเสียงที่ผ่านมาทางอากาศ (air conduction) และเสียงที่ผ่านมาโดยตรงที่กระดูกกกหู (bone conduction)  โดยการตรวจชนิดนี้จะใช้ตรวจกับเด็กโตอายุประมาณ 4 ปีขึ้นไปหรือผู้ใหญ่ที่สามารถให้ความร่วมมือในการตรวจได้  ส่วนเด็กเล็กอายุ 2-4 ปี จะใช้ Play Audiometry โดยใช้ของเล่นเป็นสื่อช่วยในการตรวจ
  2. Behavioral Observation Audiometry (BOA) คือการตรวจการได้ยินเสียงจากการสังเกตพฤติกรรมการตอบสนองต่อเสียง เช่น เด็กมีอาการสะดุ้งเมื่อปล่อยเสียงกระตุ้นหรือหันหน้าเข้าหาเสียง  การตรวจชนิดนี้เป็นการตรวจเบื้องต้นในเด็กเล็กที่ไม่สามารถให้ความร่วมมือในการตรวจ ผลที่ได้จะบอกเพียงคร่าว ๆ ไม่ใช่การวัดระดับการได้ยินที่แท้จริง
  3. Otoacoustic Emission (OAE) คือการตรวจวัดระดับเสียงสะท้อนจากหูชั้นในเมื่อปล่อยเสียงกระตุ้น  ผลที่ได้จะช่วยบ่งชี้ถึงความผิดปกติของหูชั้นในได้ดี  การตรวจชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วย จึงสามารถเลือกใช้กับการตรวจผู้ป่วยเด็กเล็กได้
  4. Auditory Brain Stem Response (ABR) คือการตรวจวัดคลื่นจากประสาทหูและก้านสมองเมื่อปล่อยเสียงกระตุ้น  ผลที่ได้จะช่วยบ่งชี้ภาวะหูเสื่อมจากความผิดปกติที่อยู่ถัดไปจากหูชั้นใน ซึ่งได้แก่ประสาทหูและก้านสมอง  และยังช่วยประมาณระดับความรุนแรงของการได้ยินด้วย  การตรวจชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วย จึงสามารถเลือกใช้กับการตรวจผู้ป่วยเด็กเล็กได้
  5. Tympanometry คือการตรวจดูการทำงานของหูชั้นกลาง  ผลที่ได้จะช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยความผิดปกติของหูชั้นกลาง เช่น ภาวะมีน้ำเหลืองขังในช่องหูชั้นกลาง ภาวะที่กระดูกหูแข็งติดกันไม่สามารถนำเสียงได้ดี การตอบสนองของกล้ามเนื้อหูชั้นกลางต่อเสียงกระตุ้น (stapedial reflex) ระดับความดันในช่องหูชั้นกลางซึ่งบ่งชี้ถึงการทำงานของท่อยูสเตเชียน เป็นต้น

แนวทางการรักษาปัญหาทางหูที่พบบ่อย

  1. ปัญหาความพิการแต่กำเนิดของรูหูชั้นนอกและช่องหูชั้นกลาง
    ผู้ป่วยประเภทนี้มักพบร่วมกับการมีใบหูเล็กผิดรูป และกระดูกกรามบนกรามล่างมีขนาดเล็ก  ส่วนใหญ่มักมีความผิดปกติข้างเดียว ทำให้รูปใบหน้าไม่เท่ากัน  แต่ก็อาจพบความผิดปกติทั้ง 2 ข้างในบางรายได้  แพทย์จะต้องประเมินระดับความสามารถในการรับฟังเสียง  หากผู้ป่วยมีปัญหาหูตึงในด้านใดด้านหนึ่งเพียงข้างเดียว โดยมีข้างหนึ่งปกติ ผู้ป่วยจะไม่มีปัญหาในการพูดคุยสื่อสารกับบุคคลอื่น สามารถพัฒนาภาษาและเรียนหนังสือได้ปกติ  ดังนั้นแพทย์จะแก้ไขเฉพาะใบหูที่ไม่สวยงามให้ผู้ป่วยสามารถเข้าสังคมร่วมกับเด็กคนอื่น ส่วนปัญหาหูตึงได้ยินไม่ชัด จะรอให้ผู้ป่วยตัดสินใจเองว่าต้องการผ่าตัดแก้ไขหรือไม่เมื่อผู้ป่วยมีอายุ 18 ปีซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว
    ส่วนผู้ป่วยที่มีหูตึงทั้ง 2 ข้าง จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข มิฉะนั้นผู้ป่วยอาจพูดไม่ได้และมีปัญหาในการเรียนและการเข้าสังคม  โดยผู้ป่วยจะได้รับเครื่องช่วยฟังที่ปรับเครื่องให้เหมาะสมกับภาวะหูตึงของผู้ป่วย  จากนั้นแพทย์จะรอจนกระทั่งผู้ป่วยมีอายุประมาณ 6-7 ปี ขึ้นไป ซึ่งเป็นอายุที่เหมาะสมต่อการผ่าตัด  แล้วแพทย์จึงจะทำการผ่าตัดเสริมสร้างรูหูส่วนนอก เสริมสร้างเยื่อแก้วหู รวมทั้งแก้ไขความผิดปกติของกระดูกหูในช่องหูชั้นกลางซึ่งอาจต้องใช้กระดูกหูเทียม  โดยจะเลือกทำในหูข้างที่น่าจะได้ผลการรักษาที่ดีกว่าเพียงข้างเดียว
  2. ปัญหาน้ำเหลืองขังในช่องหูชั้นกลาง
    ผู้ป่วยที่มีการทำงานของท่อยูสเตเชียนผิดปกติ โดยเฉพาะผู้ป่วยเพดานโหว่มักมีน้ำเหลืองขังอยู่เรื้อรังในหูชั้นกลาง  แม้ว่าการผ่าตัดแก้ไขเพดานโหว่จะช่วยลดปัญหาการสำลักและการติดเชื้อในหูชั้นกลางและโพรงไซนัส แต่ผู้ป่วยจะยังคงมีปัญหาน้ำเหลืองขังในช่องหูชั้นกลางอยู่เนื่องจากกล้ามเนื้อเพดานอ่อนยังคงไม่สามารถเปิดท่อยูสเตเชียนได้ดี
    ผู้ป่วยส่วนหนึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาซึ่งอาจต้องรับประทานยานานหลายเดือน ร่วมกับการเบ่งลมออกหูขณะปิดปากและบีบจมูก เพื่อให้แรงดันลมเปิดท่อยูสเตเชียนออก  แต่ผู้ป่วยบางส่วนที่ใช้ยาไม่ได้ผลจะต้องมารับการผ่าตัดใส่ท่อปรับความดันในหูชั้นกลาง เมื่อใส่ท่อแล้วหูชั้นกลางจะไม่อยู่ในสภาพเป็นห้องปิดที่มีความดันเป็นลบอีก ผู้ป่วยจึงไม่มีน้ำเหลืองขังและได้ยินดี
  3. ปัญหาหูน้ำหนวก
    ทั้งการที่ท่อยูสเตเชียนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และการสำลักนมสำลักอาหารบ่อย ๆ ต่างเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่ และความพิการบนใบหน้าอื่น ๆ มีปัญหาหูน้ำหนวกได้ง่าย  เมื่อเด็กมีปัญหาหูอื้อ ปวดหู มีหนองไหล แพทย์จะพิจารณาว่าโรคหูน้ำหนวกนั้นเป็นชนิดเฉียบพลันหรือชนิดเรื้อรัง
    หากเป็นชนิดเรื้อรังแล้ว โรคได้ทำลายส่วนใดของหูบ้าง เช่น เยื่อแก้วหูทะลุ กระดูกหูสึกกร่อน ประสาทหูชั้นในเสื่อม หรือโรคได้ลุกลามไปเกินหู เข้าสู่กระดูกกกหู  มีลักษณะอันตรายร้ายแรง (cholesteatoma) ที่มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนที่อันตรายหรือไม่ เช่น หน้าเบี้ยว หูหนวกสนิทถาวร เวียนศีรษะ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือฝีในสมอง
    ผู้ป่วยหูน้ำหนวกเฉียบพลันจะได้รับการรักษาทางยาเป็นหลัก  ส่วนผู้ป่วยหูน้ำหนวกเรื้อรังนั้น แพทย์มักจะให้ยาประคับประคองไปก่อนจนกระทั่งเด็กมีอายุมากพอสมควร ประมาณช่วงก่อนวัยรุ่นขึ้นไป ซึ่งท่อยูสเตเชียนสามารถทำงานได้ดีขึ้นแล้ว จึงจะแนะนำให้ผู้ป่วยรับการผ่าตัด  แต่ถ้าผู้ป่วยมีหูน้ำหนวกชนิดอันตรายร้ายแรงซึ่งมีความเสี่ยงต่อความพิการและชีวิต แพทย์จะทำการผ่าตัดทันที

เครื่องช่วยฟัง

หากปัญหาการได้ยินไม่ชัดของผู้ป่วยมีสาเหตุมาจากรูหูชั้นนอกหรือมาจากหูชั้นกลาง แพทย์สามารถผ่าตัดแก้ไขได้  แต่ถ้าผู้ป่วยมีสาเหตุของปัญหาจากหูชั้นใน หรือมีข้อห้ามใด ๆ ต่อการผ่าตัดซึ่งแพทย์ไม่สามารถผ่าตัดได้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยฟังเพื่อขยายเสียงให้สามารถรับฟังเสียงได้ดีขึ้น  ทั้งนี้ระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยินต้องไม่รุนแรงถึงขั้นหนวกสนิท

เครื่องช่วยฟังแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

  1. เครื่องช่วยฟังชนิดเสียงผ่านมาทางกระดูก (bone conduction hearing aid) ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีรูหูชั้นนอก ผู้ป่วยจึงต้องใช้เครื่องที่สัมผัสไว้กับกระดูกกกหู แล้วคาดไว้กับศีรษะเหมือนการใส่ที่คาดผม  เครื่องจะรับเสียงแล้วแปลงสัญญาณเสียงให้กระดูกกกหูเกิดการสั่น และนำเสียงไปสู่หูชั้นใน
  2. เครื่องช่วยฟังชนิดเสียงผ่านมาทางอากาศ มีหลายแบบ ได้แก่
    1. เครื่องช่วยฟังแบบกล่อง (body type) ผู้ป่วยต้องใส่เครื่องที่เป็นกล่องไว้กับกระเป๋าเสื้อแล้วมีสายต่อจากเครื่องมาที่หู
    2. เครื่องช่วยฟังแบบทัดหลังหู (behind the ear) เครื่องจะเหน็บไว้ที่หลังหู
    3. เครื่องช่วยฟังแบบใส่ไว้ในช่องหู โดยเครื่องจะถูกหล่อแบบให้พอดีกับหูผู้ใช้แต่ละคน  มี 3 ขนาดได้แก่
      1. เครื่องช่วยฟังแบบใส่หู (in the ear) เครื่องจะใส่ไว้ที่ปากรูหูเป็นขนาดเต็มช่องหู เหมาะกับผู้ที่มีหูเสื่อมปานกลางถึงมาก
      2. เครื่องช่วยฟังขนาดเล็กใส่ในรูหู (in the canal เครื่องมีขนาดเล็กลง ใส่ลึกขึ้นในรูหู เหมาะกับผู้ป่วยหูเสื่อมน้อยถึงมาก
      3. เครื่องช่วยฟังขนาดจิ๋วใส่ในรูหู (complete in the canal) เครื่องมีขนาดเล็กมากจนเกือบมองไม่เห็น เหมาะกับผู้ป่วยที่หูเสื่อมน้อยถึงปานกลาง
    4. เครื่องช่วยฟังแบบแว่นตา เครื่องจะมีเครื่องรับและขยายเสียงอยู่ที่ขาของแว่นตา และมีท่อเล็ก ๆ นำเสียงจากขาแว่นเข้าสู่ช่องหูอีกทีหนึ่ง  ใช้ในกรณีผู้ป่วยที่ต้องใส่แว่นตาอยู่แล้ว แต่ไม่นิยมและมีราคาแพง

โดยสรุปแล้วผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่ และความพิการบนใบหน้าอื่น ๆ จะต้องได้รับการตรวจหูและประเมินระดับความสามารถในการรับฟังเสียงด้วยการตรวจพิเศษ  เพื่อทราบถึงความรุนแรงของปัญหาด้านหูที่มีอยู่ และให้การบำบัดรักษา ซึ่งอาจเป็นการรักษาด้วยยาหรือรับการผ่าตัด ตลอดจนฟื้นฟูสภาพด้วยเครื่องช่วยฟัง และเฝ้าระวังโรคทางหูที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง  การดูแลรักษาปัญหาของหูที่ถูกต้อง นอกจากจะช่วยให้ผู้ป่วยรับฟังเสียงได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา การเข้าสังคม และการเรียนอีกด้วย