ค่าเดินทางสำคัญอย่างไร
เล่าเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 61
โดยกิตติมา สุริยกานต์
ผู้ป่วยที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ เป็นโรคที่มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง บางโรคมีความซับซ้อนรุนแรง ต้องได้รับการดูแลจากทีมสหวิชาชีพหลายสาขา ในการวางแผนการรักษาร่วมกัน ผู้ป่วยจึงต้องมาพบแพทย์หลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงแรกของการวินิจฉัยโรค ต้องได้รับการประเมินจากทีมในหลายๆด้าน ทำให้ผู้ป่วยบางรายมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางจำนวนมาก ทั้งค่ารถโดยสาร ค่าครองชีพ ค่าอาหาร โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภูมิลำเนาต่างจังหวัด การเดินทางในบางพื้นทีมีความยากลำบาก มีหลายครอบครัวที่อยากมารักษาแต่ไม่มีค่าเดินทางทำให้การรักษาพยาบาลไม่ต่อเนื่อง บางรายได้รับการรักษาที่ล่าช้าเกินไป ทำให้มีผลต่อพัฒนาการ การรักษาทำได้ยากขึ้น
ด.ช.ปลื้ม (นามสมมุติ) อายุ 3 ปี เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่มีปัญหาดังกล่าว ผู้ป่วยเป็นโรคกะโหลกศรีษะปิดก่อนกำหนด มีนิ้วโป้งข้างขวาเกินมา1นิ้ว ได้รับการส่งตัวจากโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เพื่อส่งมารักษากับแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ผู้ป่วยใช้เวลาเดินทางประมาณ 12 ชั่วโมงเป็นระยะทาง 700 กว่ากิโลเมตร โดยต้องเดินทางด้วยรถโดยสารและเรือ มีค่าเดินทางประมาณครั้งละ 2,500-3,000 บาท รวมถึงมีค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าครองชีพและค่าอาหารด้วย บิดามีอาชีพก่อสร้าง รายได้วันละ 300 บาท มารดาไม่ได้ทำงานเนื่องจากต้องดูแลบุตรอีก 1 คน อายุ 1ปีกว่า บิดามีหนี้สินประมาณ 20,000 บาท เนื่องจากนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและเป็นค่าเดินทางมาพบแพทย์ ครอบครัวของผู้ป่วยอยากให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่รู้สึกเครียดและวิตกกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาพบแพทย์เป็นอย่างมาก
ดังนั้นการพิจารณาให้ความช่วยเหลือในเรื่องค่าเดินทาง ค่าครองชีพ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะช่วยบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจ และช่วยสนับสนุนด้านกำลังใจให้แก่ผู้ป่วยและครอบครัว ในการมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของการดูแลทั้งมิติสุขภาพกาย และสุขภาพใจ ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องได้รับการประเมินทางด้านเศรษฐกิจและสังคมจากนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อประเมินการให้ความช่วยเหลือ ตลอดจนให้คำแนะนำในเรื่องการวางแผนการเดินทาง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นการสร้างรอยยิ้มและความหวังให้กับผู้ป่วยและครอบครัวในการรักษาพยาบาลได้อีกทางหนึ่ง